โลกร้อน-มลพิษ ส่งรถยนต์ไฟฟ้ามาแรง MG พร้อมหนุนทุกด้าน ยกระดับไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

ตลอดปี 2021 ทั่วโลกจะถูกท้าทายจากไวรัสร้าย “โควิด 19” ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมไปทั่วโลก ขณะที่ล่าสุดสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 เริ่มคลี่คลายในหลายๆ ประเทศเริ่มมีความคึกคักในการกลับมาใช้ชีวิต
ตามปกติ เมื่อกลับสู่ภาวะปกติการใช้น้ำมันในทุกประเทศเริ่มมีความต้องการมากขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเป็นลำดับ ประกอบกับหลายประเทศทั่วโลกยังมีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ชั่วโมงนี้จึงส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้ามีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ปัจจัยที่ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
อย่างต่อเนื่อง เช่น ราคาเชื้อเพลิงที่เป็นน้ำมันมีราคาแพง ความต้องการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลพิษ ความต้องการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ และความคุ้มค่าในการใช้งาน เป็นต้น


สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ที่กำลังมีอัตราการเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน มาจากแรงหนุนใหญ่ 5 ประการ คือ
1. รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาลดลง และมีรถยนต์ไฟฟ้าให้ผู้ซื้อ
เลือกได้หลายรุ่นมากขึ้น
2. มีสถานีชาร์จไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าได้มากขึ้น
3. รัฐบาลให้การสนับสนุนการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
4. ผู้บริโภคให้ความสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
5. การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 หรือความพยายามในการลดการปล่อยมลภาวะ ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าและ
มีการปล่อยมลภาวะน้อยกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาป


สำหรับบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ถือเป็นผู้นำด้านการ ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทยในฐานะผู้บุกเบิกรถยนต์พลังงานทางเลือกในประเทศไทยอย่างจริงจัง ร่วมผลักดันประเทศไทยเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) ตามแนวทางของรัฐที่มุ่งเดินหน้าวางรากฐานการใช้งานรถยนต์พลังงานทางเลือกอย่างยั่งยืน เพื่อกระตุ้นคนไทยให้เห็นความสำคัญ และผลลัพธ์ของการใช้พลังงานสะอาด
ปัจจุบันเอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) นำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% หรือ รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด
ที่ปัจจุบันเอ็มจีมีอยู่ด้วยกัน 3 รุ่น คือ MG ZS EV, MG HS PHEV และ MG EP โดยนอกจากจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์แล้ว เอ็มจีได้
ดำเนินการกำหนดมาตรฐานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และสถานีชาร์จไฟฟ้า รวมถึงมีแผนที่ชัดเจนในการขยายสถานีชาร์จ
เพื่อเพิ่มความพร้อม และผลักดันให้เกิดผู้ใช้งานรถยนต์พลังงานทางเลือกเพิ่มมากขึ้น
เอ็มจี เปิดเผยว่า “รถยนต์พลังงานทางเลือก ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งระดับประเทศและระดับโลกเอ็มจีในฐานะผู้นำในตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกในประเทศไทย เราได้ให้ความสำคัญ และเดินหน้าผลักดันการใช้รถยนต์พลังงานทางเลือกอย่างจริงจังมาโดยตลอด ทั้งการแนะนำรถยนต์พลังงานทางเลือกรุ่นใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคและทำให้ตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกเติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมทั้งลงทุนขยายสถานีชาร์จ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้วันนี้แบรนด์เอ็มจีมีความพร้อมทุกด้านในการรองรับ และอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในประเทศไทยอย่างเต็มประสิทธิภาพ และจะเป็นกำลังหลักในการยกระดับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า และทำให้สังคมยานยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นจริงในประเทศไทย อย่างไรก็ตามการเกิดขึ้นของสังคมยานยนต์ไฟฟ้าจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะความชัดเจนของภาครัฐที่จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยขับเคลื่อนสู่เป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น


ทั้งนี้ เอ็มจี ถือเป็นแบรนด์รถยนต์พลังงานทางเลือกที่ได้รับความนิยมในสหราชอาณาจักร รวมถึงประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคยุโรปด้วยยอดขายกว่า 20,000 คัน ในช่วงครึ่งปีแรกของ ปี พ.ศ. 2564 สำหรับประเทศไทย เรามีแผนจะแนะนำรถยนต์พลังงานทางเลือกสู่ตลาดอีกอย่างน้อย 3 รุ่น ภายในปีหน้า”
ที่ผ่านมา เอ็มจี ได้จุดประกายความนิยมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขึ้นในประเทศด้วยการเปิดตัว MG ZS EV รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของเอ็มจีในปี พ.ศ. 2562 หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2563 ได้แนะนำ MG HS PHEV เป็นรถปลั๊กอินไฮบริดที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง ที่มีระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้า หรือ EV Range สูงถึง 67 กิโลเมตร รองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ก่อนที่จะเปิดตัว MG EP รถยนต์สเตชั่นแวกอนพลังงานไฟฟ้า สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างครบถ้วน ทั้งในเรื่องของระยะทางการขับขี่ความประหยัด สมรรถนะ ฟังก์ชั่น พื้นที่ใช้สอย รวมไปถึงราคาที่คุ้มค่า ในราคา 988,000 บาท
ปัจจุบัน เอ็มจี เป็นผู้นำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 90% และมีผู้ใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของเอ็มจีร่วม 3,000 คัน แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของผู้บริโภค และการเปิดใจรับการใช้งานรถยนต์พลังงานทางเลือกที่มากขึ้น โดยนอกจากที่เอ็มจีมีการพัฒนาและนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างทางเลือกให้กับผู้บริโภคแล้ว เอ็มจียังให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานของสังคมยานยนต์ไฟฟ้า โดยมุ่งสร้างความแข็งแกร่ง
และเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ให้สมบูรณ์แบบ สามารถรองรับการเติบโตของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการลงนามความร่วมมือกับทั้งหน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ อาทิ การไฟฟ้านครหลวง (MEA)การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และได้ร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อยกระดับระบบการรับรองและมาตรฐานของสถานีอัดประจุไฟฟ้าในประเทศไทย นอกจากนี้เอ็มจี ยังได้สร้างสถานีอัดประจุไฟฟ้า MG Super Charge ที่ให้บริการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charge) โดยตั้งเป้าให้มีสถานีชาร์จในทุกๆ 150 กิโลเมตร ซึ่งได้ติดตั้งแล้วกว่า 119 แห่ง รวมไปถึงการลงนามความร่วมมือกับ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน เพื่อติดตั้ง
สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า MG Super Charge ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก ครอบคลุมทั้งในเขตกรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ รวมทั้งสิ้น 50 แห่ง เพื่อให้ครอบคลุมการใช้งานของผู้บริโภค


จากปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลพิษจากการใช้รถที่มาจากการใช้น้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 หรือความพยายามในการลดการปล่อยมลภาวะ ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้า จะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าและมีการปล่อยมลภาวะน้อยกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปได้มาก